<- Back

แกะโมเดลธุรกิจ Thai Union (TU) | ไม่ได้มีดีแค่ทูน่ากระป๋อง

8

mins read /

Sep 1, 2025

จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อ "ปลาทูน่ากระป๋อง" ไม่ใช่แค่สินค้าบนชั้นวาง แต่เป็นรากฐานของอาณาจักรอาหารทะเลระดับโลกที่มีรายได้นับแสนล้านบาท? Thai Union Group (TU) ทำได้อย่างไรในการเปลี่ยนธุรกิจดั้งเดิมให้กลายเป็นเครื่องจักรที่ทรงพลัง และพวกเขากำลังเดิมพันกับอะไรเพื่อสร้างการเติบโตในอนาคต? นี่คือบทวิเคราะห์ฉบับเจาะลึกของหนึ่งในบริษัทที่น่าสนใจที่สุดของไทย

บทวิเคราะห์การลงทุน: Thai Union Group Public Company Limited (TU) วันที่วิเคราะห์: 10 สิงหาคม 2568

ส่วนที่ 1: การวิเคราะห์ธุรกิจเชิงลึก (Business Deep Dive) 🏢

1. โมเดลธุรกิจและการสร้างรายได้ (Business Model & Revenue Streams):

  • บริษัทนี้ทำอะไร?: บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU คือหนึ่งในผู้ผลิตและแปรรูปอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีรากฐานจากการเป็นผู้ผลิตปลาทูน่ากระป๋อง ปัจจุบัน TU ได้ขยายธุรกิจครอบคลุมผลิตภัณฑ์อาหารทะเลหลากหลายประเภท ทั้งแบบแช่เย็น แช่แข็ง และอาหารสัตว์เลี้ยง รวมถึงธุรกิจบรรจุภัณฑ์และผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม (Value-added) กลุ่มลูกค้าหลักกระจายอยู่ทั่วโลก ทั้งในรูปแบบผู้บริโภคทั่วไปผ่านแบรนด์ของบริษัท และในรูปแบบลูกค้าอุตสาหกรรมและธุรกิจบริการอาหาร

  • แบรนด์และธุรกิจในเครือ:

    • กลุ่มทูน่า (Ambient Seafood): Chicken of the Sea (อเมริกาเหนือ), John West (ยุโรปเหนือ), Petit Navire (ฝรั่งเศส), Mareblu (อิตาลี), King Oscar (นอร์เวย์), และ ซีเล็ค (ประเทศไทย)

    • กลุ่มอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็น: ให้บริการแก่กลุ่มธุรกิจร้านอาหารและโรงแรม

    • กลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง (PetCare): Bellotta, Marvo, และรับจ้างผลิต (OEM) ให้กับแบรนด์ชั้นนำอื่นๆ

    • กลุ่มผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มและอื่นๆ: ผลิตภัณฑ์พร้อมทาน, ส่วนผสมในอาหาร, และธุรกิจอาหารเสริม

  • บริษัทนี้ทำเงินอย่างไร?: โครงสร้างรายได้ของ TU มีการกระจายตัวที่ดี มาจาก 3 ธุรกิจหลัก:

    1. ธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปบรรจุกระป๋อง (Ambient Seafood): เป็นแหล่งรายได้ที่ใหญ่ที่สุดและสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคง โดยเฉพาะปลาทูน่ากระป๋อง

    2. ธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็น: สร้างรายได้จากช่องทางธุรกิจบริการอาหาร (Food Service) และค้าปลีก

    3. ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม: เป็นกลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโตสูงและมีอัตรากำไรที่ดี ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัท


ส่วนที่ 2: การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์และสภาวะการแข่งขัน (Strategic & Competitive Analysis) ⚔️

2. การวิเคราะห์ Five Forces Model:

  • การแข่งขันในอุตสาหกรรม: [สูง]

    • อุตสาหกรรมอาหารทะเลมีการแข่งขันสูงจากผู้ผลิตทั่วโลก ทั้งแบรนด์ของผู้ผลิตเอง (Branded) และการรับจ้างผลิต (Private Label) การแข่งขันเน้นที่ราคาและประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทาน

  • อำนาจต่อรองของลูกค้า: [สูง]

    • ลูกค้าที่เป็นผู้ค้าปลีกรายใหญ่ (เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ต) มีอำนาจต่อรองสูง สามารถกดดันราคาและเงื่อนไขทางการค้าได้ ในขณะที่ผู้บริโภคปลายทางมีความอ่อนไหวต่อราคาและสามารถเปลี่ยนแบรนด์ได้ง่าย

  • อำนาจต่อรองของซัพพลายเออร์: [กลางถึงสูง]

    • ราคาวัตถุดิบหลัก (เช่น ปลาทูน่า) มีความผันผวนสูงและขึ้นอยู่กับปริมาณการจับจากธรรมชาติและกฎระเบียบ ทำให้ซัพพลายเออร์วัตถุดิบมีอำนาจต่อรองพอสมควร

  • ภัยคุกคามจากผู้เล่นรายใหม่: [ต่ำ]

    • การจะเป็นผู้เล่นขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมนี้ต้องใช้เงินลงทุนสูงในการสร้างโรงงาน, เครือข่ายการจัดหาวัตถุดิบ, และช่องทางการจัดจำหน่ายทั่วโลก ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับผู้เล่นรายใหม่

  • ภัยคุกคามจากสินค้าทดแทน: [กลาง]

    • ผู้บริโภคมีทางเลือกโปรตีนหลากหลายชนิด เช่น เนื้อไก่, เนื้อหมู, หรือโปรตีนจากพืช (Plant-based protein) ซึ่งอาจเข้ามาทดแทนอาหารทะเลได้หากมีราคาที่น่าสนใจกว่า

3. การวิเคราะห์ SWOT Analysis:

  • จุดแข็ง (Strengths):

    • เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมอาหารทะเลระดับโลก มีแบรนด์ที่แข็งแกร่งในหลายประเทศ

    • มีขนาดของกิจการที่ใหญ่ (Economies of Scale) ทำให้มีประสิทธิภาพด้านต้นทุน

    • มีการกระจายตัวของรายได้ที่ดี ทั้งในแง่ของผลิตภัณฑ์และภูมิศาสตร์

    • มีความเชี่ยวชาญในห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบจนถึงการตลาด

  • จุดอ่อน (Weaknesses):

    • อัตรากำไรขั้นต้นค่อนข้างต่ำและผันผวนตามราคาวัตถุดิบ

    • ธุรกิจหลัก (ทูน่ากระป๋อง) เป็นธุรกิจที่เติบโตช้า (Mature Market)

  • โอกาส (Opportunities):

    • Megatrend ด้านสุขภาพและการดูแลความเป็นอยู่ที่ดี (Health & Wellness) ทำให้ความต้องการอาหารทะเลเพิ่มขึ้น

    • การเติบโตของธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งเป็นตลาดที่มีมูลค่าสูง

    • การพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมและมูลค่าเพิ่มเพื่อเพิ่มอัตรากำไร

  • อุปสรรค (Threats):

    • ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและราคาวัตถุดิบ

    • กฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม, การทำประมงที่ยั่งยืน (IUU Fishing), และสิทธิมนุษยชน ที่เข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ

    • ความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว อาจกระทบกำลังซื้อของผู้บริโภค


ส่วนที่ 3: การประเมินตามหลักการลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investing Assessment) 📚

4. เช็คลิสต์ตามแนวทาง "The Intelligent Investor":

  • ขนาดของกิจการ: ผ่าน - TU เป็นบริษัทขนาดใหญ่ มีรายได้หลักแสนล้านบาทและมีการดำเนินงานทั่วโลก ถือว่ามีความมั่นคงสูง

  • ความแข็งแกร่งทางการเงิน: ผ่าน - มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง แม้จะมีหนี้สินจากการขยายกิจการ แต่ก็มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่สม่ำเสมอและสามารถบริหารจัดการหนี้ได้ดี

  • เสถียรภาพของกำไร: ผ่าน - มีกำไรต่อเนื่องมาตลอด 10 ปี แม้จะมีความผันผวนบ้างตามวัฏจักรของราคาวัตถุดิบและอัตราแลกเปลี่ยน แต่โดยรวมถือว่ามีเสถียรภาพ

  • ประวัติการจ่ายเงินปันผล: ผ่าน - มีการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอมาตลอด 10 ปี และให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ในระดับที่น่าสนใจ (ล่าสุดประมาณ 5.65%)

  • การเติบโตของกำไร: ก้ำกึ่ง - การเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS) ในอดีตไม่ได้เติบโตอย่างโดดเด่นนัก เนื่องจากธุรกิจหลักอยู่ในตลาดที่อิ่มตัว อย่างไรก็ตาม บริษัทพยายามสร้างการเติบโตจากธุรกิจใหม่ๆ

  • การประเมินมูลค่า: น่าสนใจ - P/E Ratio ในปัจจุบันอยู่ในระดับที่ไม่สูงนักเมื่อเทียบกับอดีต และ P/B Ratio (ล่าสุดประมาณ 1 เท่า) อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งอาจบ่งชี้ว่าหุ้นมี "Margin of Safety"

5. คุณภาพของกิจการและคูเมือง (Moat & Quality):

  • คูเมืองของธุรกิจ: [ปานกลาง]

    • คูเมืองของ TU มาจาก 1) ความได้เปรียบด้านต้นทุน (Cost Advantage) จากขนาดการผลิตและการจัดหาวัตถุดิบทั่วโลก และ 2) ตราสินค้า (Brand) ที่แข็งแกร่งในตลาดหลักๆ เช่น ยุโรปและอเมริกา อย่างไรก็ตาม คูเมืองนี้ไม่ได้กว้างมากนักเนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรม

  • ธรรมาภิบาลและคุณภาพผู้บริหาร: [ดีเยี่ยม]

    • นำโดยตระกูลจันศิริ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งและมีความเชี่ยวชาญในธุรกิจอย่างลึกซึ้ง ผู้บริหารมีวิสัยทัศน์ในการนำพาบริษัทให้เติบโตอย่างยั่งยืนและให้ความสำคัญกับธรรมาภิบาล

  • อยู่ใน Megatrend หรือไม่?: [ใช่]

    • ธุรกิจของ TU เกาะกระแส Health & Wellness (อาหารทะเลเป็นโปรตีนที่ดีต่อสุขภาพ), Premiumization (การออกสินค้ามูลค่าเพิ่ม), และ Pet Humanization (การเติบโตของอาหารสัตว์เลี้ยงคุณภาพสูง)


ส่วนที่ 4: การวิเคราะห์ความเสี่ยง (Risk Analysis & Bear Case) ⚠️

6. ความเสี่ยงและข้อเสียที่ไม่ควรมองข้าม:

  • ความเสี่ยงด้านการดำเนินงาน:

    • การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน, การขาดแคลนแรงงาน, และความปลอดภัยของอาหาร

  • ความเสี่ยงด้านการเงิน:

    • ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากมีรายได้และต้นทุนเป็นสกุลเงินต่างประเทศจำนวนมาก

    • ความผันผวนของราคาวัตถุดิบ ซึ่งกระทบต่ออัตรากำไรโดยตรง

  • ความเสี่ยงด้านอุตสาหกรรมและการแข่งขัน:

    • การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคไปสู่สินค้าทดแทน

    • กฎระเบียบทางการค้าและการกีดกันทางการค้า เช่น การขึ้นภาษี

  • ความเสี่ยงด้านการประเมินมูลค่า:

    • แม้มูลค่าหุ้นจะดูไม่แพง แต่อุตสาหกรรมนี้เป็นธุรกิจที่มีการเติบโตต่ำ (Low-growth) ซึ่งอาจทำให้หุ้นไม่ได้รับความสนใจจากตลาด

  • บทสรุป "กรณีเลวร้าย" (Bear Case):

    • เหตุผลที่จะ "ไม่" ลงทุนในหุ้นตัวนี้คือ: หากราคาวัตถุดิบพุ่งสูงขึ้นพร้อมกับค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างรุนแรง จะบีบอัตรากำไรของบริษัทอย่างหนัก ประกอบกับหากเศรษฐกิจโลกถดถอยจนผู้บริโภคลดการใช้จ่าย อาจทำให้ยอดขายและกำไรลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้หุ้นจะถูก แต่ก็อาจจะถูกได้อีก


ส่วนที่ 5: การวิจัยเชิงลึกและปัจจัยทางเทคนิค (Deep Research & Technicals) 🔬

7. การวิจัยเพิ่มเติมเพื่อความได้เปรียบ:

  • สิ่งที่ตลาดอาจมองข้าม:

    • มูลค่าของธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งตลาดยังอาจไม่ได้ให้มูลค่าเต็มที่ และศักยภาพในการออกผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ๆ ที่มีอัตรากำไรสูง

  • ตัวเร่งปฏิกิริยา (Catalysts):

    • ราคาปลาทูน่าที่ปรับตัวลดลง ซึ่งจะช่วยหนุนอัตรากำไรขั้นต้นให้สูงขึ้น

    • ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง จะส่งผลบวกต่อรายได้และกำไรของบริษัท

    • การเข้าซื้อกิจการ (M&A) ใหม่ๆ ที่จะช่วยต่อยอดการเติบโต

    • การที่ Mitsubishi Corp. ของญี่ปุ่นประกาศทำคำเสนอซื้อหุ้นเพิ่ม ซึ่งอาจนำไปสู่ความร่วมมือทางธุรกิจที่แข็งแกร่งขึ้น

8. มุมมองทางเทคนิค (เพื่อหาจังหวะและบริหารความเสี่ยง):

  • แนวโน้มราคา (Trend):

    • นักลงทุนควรพิจารณาเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (SMA) หากราคา สามารถตัดผ่านและยืนเหนือเส้น SMA 200 วัน ได้ จะเป็นสัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้มเป็นขาขึ้นในภาพใหญ่

  • แนวรับ-แนวต้านสำคัญ (Support/Resistance):

    • ควรพิจารณาโซนราคาที่ 13.80 บาทเป็นแนวรับ และ 14.80 บาทเป็นแนวต้านสำคัญในระยะสั้น

  • โมเมนตัมและปริมาณการซื้อขาย (Momentum & Volume):

    • ควรใช้ ดัชนี RSI เพื่อดูภาวะซื้อหรือขายที่มากเกินไปประกอบการตัดสินใจ และสังเกต ปริมาณการซื้อขาย (Volume) ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเพื่อยืนยันทิศทางของราคา


ส่วนที่ 6: สรุปบทวิเคราะห์การลงทุน (Investment Thesis Summary) 🎯

9. บทสรุปสำหรับนักลงทุน:

  • เรื่องราวการลงทุน (The Story): TU คือ "ยักษ์ใหญ่ใจดี" แห่งอุตสาหกรรมอาหารทะเลโลกที่อาจดูไม่น่าตื่นเต้น แต่มีความมั่นคงสูง จ่ายปันผลสม่ำเสมอ และกำลังพยายามสร้างการเติบโตใหม่จากธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและนวัตกรรม ท่ามกลางมูลค่าหุ้นที่สมเหตุสมผล

  • เหตุผลหลักในการลงทุน (Key Drivers):

    1. ผู้นำตลาดโลก: มีความมั่นคงสูงจากขนาดและแบรนด์ที่แข็งแกร่ง

    2. หุ้นปันผลเด่น: จ่ายปันผลสม่ำเสมอและให้ยีลด์ที่น่าสนใจ เหมาะสำหรับนักลงทุนระยะยาว

    3. มูลค่าหุ้นไม่แพง: ซื้อขายที่ P/B ต่ำ และ P/E ที่สมเหตุสมผล มี Margin of Safety ในเชิงมูลค่า

  • บทสรุปสุดท้าย:

    • ในมุมมองปัจจัยพื้นฐาน: TU เป็น "ธุรกิจที่ดี" (Good Business) ที่ซื้อขายใน "ราคาที่ยอดเยี่ยม" (Wonderful Price) ตามหลักการของเบนจามิน เกรแฮม เป็นหุ้นเน้นคุณค่า (Value Stock) ที่ชัดเจน มีความเสี่ยงขาลง (Downside Risk) ที่จำกัด และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลที่น่าพอใจ ที่ราคาปัจจุบันมี Margin of Safety ที่น่าสนใจ

    • ในมุมมองปัจจัยทางเทคนิค: กราฟราคากำลังอยู่ในช่วงสะสมพลังและพยายามสร้างฐานเพื่อกลับตัวเป็นขาขึ้น การเข้าซื้อบริเวณแนวรับสำคัญมีความเสี่ยงต่ำ และภาพทางเทคนิคไม่ได้ขัดแย้งกับการเข้าลงทุนในเชิงพื้นฐาน

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ (Disclaimer): ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลและการศึกษาเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำทางการเงินหรือการลงทุน การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลด้วยตนเองและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจลงทุน