<- Back

แกะโมเดล AOT: ทำเงินจากอะไร? ไม่ได้มีดีแค่ค่าเครื่องบินลง

6

mins read /

Jul 21, 2025

ทุกครั้งที่เดินทางผ่านสนามบินสุวรรณภูมิหรือดอนเมือง เคยสงสัยหรือไม่ว่ารายได้มหาศาลของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT มาจากไหนกันแน่? ระหว่างค่าธรรมเนียมที่สายการบินต้องจ่ายให้ กับเงินในกระเป๋าที่เราควักออกมาใช้จ่ายในร้านค้าปลอดภาษีและร้านอาหาร... แหล่งรายได้ใดคือ 'ขุมทรัพย์' ที่แท้จริงของอาณาจักรสนามบินแห่งนี้?

บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ไม่ได้เป็นเพียงผู้บริหารสนามบิน แต่คือผู้กุม "ประตูสู่ประเทศไทย" ผ่านการบริหารท่าอากาศยานหลัก 6 แห่งทั่วประเทศ ได้แก่ สุวรรณภูมิ, ดอนเมือง, ภูเก็ต, เชียงใหม่, หาดใหญ่ และแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ในมุมมองของนักลงทุน นี่คือกิจการคุณภาพสูงที่มีสถานะเป็น ธุรกิจผูกขาดโดยธรรมชาติ (Natural Monopoly) ซึ่งหาได้ยากยิ่ง

โมเดลรายได้ 2 ทาง: Aeronautical vs. Non-Aeronautical

หัวใจในการสร้างรายได้ของ AOT แบ่งออกเป็น 2 ส่วนอย่างชัดเจน:

  1. รายได้เกี่ยวกับกิจการการบิน (Aeronautical Revenue): นี่คือรายได้ที่ทุกคนนึกถึงเป็นอันดับแรก เป็นรายได้ที่เรียกเก็บจาก "สายการบิน" โดยตรง ประกอบด้วย:

    • Landing Charge: ค่าธรรมเนียมในการขึ้น-ลงของอากาศยาน

    • Parking Charge: ค่าธรรมเนียมที่จอดอากาศยาน

    • Passenger Service Charge (PSC): ค่าบริการผู้โดยสารขาออกที่เรามักเห็นรวมอยู่ในตั๋วเครื่องบิน รายได้ส่วนนี้จะเติบโตตามจำนวนเที่ยวบินและจำนวนผู้โดยสาร

  2. รายได้ไม่เกี่ยวกับกิจการการบิน (Non-Aeronautical Revenue): นี่คือ "ขุมทรัพย์" ที่แท้จริงของ AOT เป็นส่วนที่มีอัตรากำไรสูง และเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญอย่างยิ่ง มาจากการให้สัมปทานแก่ผู้ประกอบการรายอื่นในสนามบิน เช่น:

    • ร้านค้าปลอดอากร (Duty-Free): โดยมี King Power เป็นผู้รับสัมปทานรายใหญ่

    • พื้นที่เช่าเชิงพาณิชย์: ร้านค้าปลีก, ร้านอาหาร, เคาน์เตอร์บริการต่างๆ

    • บริการอื่นๆ: ที่จอดรถ, ป้ายโฆษณา รายได้ส่วนนี้เติบโตตามจำนวนผู้โดยสารและที่สำคัญคือ "กำลังซื้อ" ของผู้โดยสารแต่ละคน

"คูเมือง" ที่ยากจะทำลาย: พลังแห่งการผูกขาด

ความได้เปรียบเชิงแข่งขัน (Moat) ของ AOT นั้นกว้างและลึกมาก จากการเป็นผู้ได้รับสัมปทานจากรัฐในการบริหารท่าอากาศยานหลักของประเทศ การจะสร้างสนามบินแห่งใหม่ขึ้นมาแข่งขันต้องเผชิญกับอุปสรรคที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ 3 ด่านคือ:

  • เงินลงทุนมหาศาล: ต้องใช้เงินทุนในระดับที่สูงมาก

  • กฎหมายและใบอนุญาต: ต้องได้รับการอนุมัติจากภาครัฐ ซึ่งเป็นไปได้ยาก

  • ทำเลยุทธศาสตร์: ที่ตั้งของสนามบินทั้ง 6 แห่งเป็นทำเลที่ดีที่สุด ซึ่งไม่สามารถลอกเลียนแบบได้

ด้วยเหตุนี้ AOT จึงมีอำนาจต่อรองเหนือลูกค้า (สายการบินและผู้โดยสาร) อย่างสมบูรณ์ และแทบจะไม่มีการแข่งขันโดยตรงเลย

การวิเคราะห์ SWOT: มุมมองของนักลงทุน

  • จุดแข็ง (Strengths): สถานะการเป็นผู้ผูกขาด, รายได้เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวซึ่งเป็นอุตสาหกรรมหลักของไทย, ฐานะการเงินแข็งแกร่ง

  • จุดอ่อน (Weaknesses): การลงทุนขยายโครงการใช้เงินสูงและเวลานาน, ความคล่องตัวในการบริหารอาจน้อยกว่าเอกชนเพราะเป็นรัฐวิสาหกิจ

  • โอกาส (Opportunities): การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวโลก, นโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐ, การขยายสนามบินเพื่อรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้น

  • อุปสรรค (Threats): ความเสี่ยงจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่กระทบการเดินทาง (โรคระบาด, สงคราม), การเปลี่ยนแปลงนโยบายภาครัฐ

บทสรุป

โมเดลธุรกิจของ AOT คือการใช้ประโยชน์สูงสุดจากสถานะการผูกขาดโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ โดยไม่ได้พึ่งพารายได้จากสายการบินเพียงอย่างเดียว แต่เปลี่ยน "ผู้คน" ที่เดินทางผ่านสนามบินให้กลายเป็นลูกค้าของพื้นที่เชิงพาณิชย์ สร้างกระแสเงินสดมหาศาลจากทุกตารางนิ้ว นี่คือเครื่องจักรทำเงินที่ทรงพลัง ตราบใดที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยยังคงเติบโตต่อไป

ฟังเรื่องราวฉบับเต็มของเขาได้ในพอดแคสต์ได้ที่: https://youtu.be/OeT9ki6Ibwc

ติดตามและเรียนรู้เพิ่มเติมกับ bnashsandbox ได้ที่:

🎓 Academy (คลังความรู้): https://www.bnashsandbox.com/learn/academy 📝 Blog (บทความและเรื่องราว): https://www.bnashsandbox.com/discover/blog

พูดคุยกับเราผ่าน LINE OA ได้ที่:

► @bnashsandbox: https://lin.ee/83N0vJY

Social Media:

► YouTube: https://www.youtube.com/@bnashsandbox

► Facebook: https://www.facebook.com/bnashsandbox

► Instagram: https://www.instagram.com/bnashsandbox

► TikTok: https://www.tiktok.com/@bnashsandbox

► X (Twitter): https://x.com/bnashsandbox

► LinkedIn: https://www.linkedin.com/company/bnashsandbox